
1. กาแฟชะมด
เวลาเดินผ่านร้านกาแฟ หลายคนคงจะชอบกลิ่นที่หอมหวนเฉพาะตัว ซึ่งคอกาแฟทั้งหลายเขาว่ากันว่ากลิ่นของกาแฟนี่แหละที่เป็นตัวทำให้ผ่อนคลาย แถมการได้ลิ้มรสชาติที่นุ่มละมุนนั้นทำให้มีความสุขกันได้ในทันที และเพราะเหตุนี้เอง คอกาแฟทั่วโลกจึงได้เสาะหากาแฟรสชาติเยี่ยมมาลองลิ้มชิมรสกัน
แต่สำหรับกาแฟที่ (เขาว่ากันว่า) แพงที่สุดในโลกในวันนี้นั้น มีรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม และกลิ่นหอมชวนหลงใหล ซึ่งก็คือ “กาแฟขี้ชะมด” (Kopi Luwak) ที่ ราคาในปัจจุบันนี้ตกอยู่ที่แก้วละประมาณ 500-1,000 บาท เหตุที่ราคาแพงขนาดนี้ ก็เพราะว่ากระบวนการผลิตนั้นซับซ้อนและต้องพิถีพิถันเป็นอันมาก
สำหรับความเป็นมาของกาแฟขี้ชะมดนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาจากประเทศอินโดนีเซีย บนเกาะสุมาตรา โดยชาวบ้านเข้าไปเดินป่าแล้วบังเอิญเห็นขี้ชะมดที่มีเมล็ดกาแฟปนอยู่ แล้วเกิดเสียดาย จึงได้นำเมล็ดกาแฟนั้นมาล้างทำความสะอาดแล้วนำไปคั่วและชงดื่ม ปรากฏว่าได้กาแฟที่มีรสชาติดีมาก จึงได้เริ่มมีการเลี้ยงชะมดไว้ในไร่กาแฟ และกลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรให้อย่างมาก
ส่วนกระบวนการผลิตกาแฟขี้ชะมดนั้นก็มีอยู่หลายขั้นตอน อย่างในไร่กาแฟที่มีการเลี้ยงชะมดเพื่อทำกาแฟขี้ชะมดนั้น เมื่อปลูกกาแฟ (สายพันธุ์โรบัสต้า) แล้ว รอจนผลกาแฟสุกได้ที่ ก็จะให้เจ้าชะมดมากินผลกาแฟพวกนี้ ซึ่งต้องใช้ชะมดสายพันธุ์เอเชีย (Asia Palm Civet) โดยในประเทศอินโดนีเซีย ต้นกำเนิดของกาแฟขี้ชะมด ชาวพื้นเมืองจะเรียกชะมดว่า “ลูแว็ค” (Luwak)
เมื่อชะมดกินผลกาแฟสุกเข้าไปแล้ว กรดและเอ็นไซม์ในกระเพาะของชะมดจะทำปฏิกิริยาเคมีกับผลกาแฟ ลักษณะคล้ายกับการหมัก โดยกระเพาะจะย่อยเฉพาะเปลือกและเนื้อของเมล็ดกาแฟ เหลือแต่กะลากาแฟ (เมล็ดกาแฟ) ที่ย่อยไม่ได้แล้วก็ขับถ่ายออกมา จากนั้นคนก็จะไปเก็บขี้ชะมด แล้วแยกเอาเฉพาะเมล็ดกาแฟออกมาไปทำความสะอาด แล้วตาให้แห้ง สุดท้ายก็นำมาคั่ว จนได้เป็นเมล็ดกาแฟคั่วที่สมบูรณ์ สามารถนำมาบดและชงดื่มได้ต่อไป
สมัยก่อน หากใครอยากจะลิ้มลองรสชาติของกาแฟขี้ชะมดนั้น อาจจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศอินโดนีเซีย ต้นตำรับกาแฟขี้ชะมด ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศติมอร์เลสเต และประเทศเวียดนาม แต่ในปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยก็มีการทำฟาร์มเลี้ยงชะมด เพื่อผลิตกาแฟขี้ชะมดขาย หรือทำไร่กาแฟแล้วให้ชะมดป่ามากินผลกาแฟสุก โดยมีผลิตอยู่ที่ จ.ตราด, อ.หลังสวน จ.ชุมพร และที่ดอยช้าง จ.เชียงราย
ใครสนใจที่จะลิ้มลองกาแฟขี้ชะมดก็สามารถไปสรรหามาลิ้มลองกันได้

▼ 2. คาสุ มาร์ซู ชีสหนอน (Casu Marzu)
คาสุ มาร์ซู (Casu Marzu) คือ ชีสนมแกะที่ภายในมีรูพรุน อันอุดมไปด้วย "หนอนแมลงวัน" แม้ปัจจุบัน ทางอียูจะกำหนดให้ชีส "คาสุ มาร์ซู" เป็นอาหารที่ผิดกฏหมายและผิดหลักโภชนาการอย่างแรง แต่แฟนพันธุ์แท้ของชีสชนิดนี้ ก็ยังคงซื้อหามารับประทานได้จากตลาดมืดซึ่งเป็นที่รู้กัน
หากแปลตรงตัว "คาสุ มาร์ซู" จะหมายถึง "ชีสเน่า" หรือที่ชาวซาร์ดิเนียนเรียกว่า "ชีสหนอน" นั่นเอง เนื่องจากภายในชีสจะมีหนอนตัวขาวใส ความยาวประมาณ 8 ม.ม. ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก หนอนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ไขมันแตกตัว
กล่าวกันว่าชีสชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มมาก เนื่องจากมีของเหลวแทรกซึมอยู่ในเนื้อชีส แต่จะต้องรีบทานในขณะที่หนอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ารอให้หนอนตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะถือว่าเป็นอาหารมีพิษทันที
และถ้ายังยี้ไม่พอ ขอบอกว่า...ถ้าใครเอามือไปโดนหรือเอาอะไรเขี่ยหนอนที่อยู่ในชีส พวกมันจะกระโดดใส่ทันที (หนอนพวกนี้สามารถดีดตัวได้สูงถึง 15 ซ.ม.) ซึ่งถ้าหากไม่ระวังล่ะก็อาจกระเด็นเข้าตาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนนำชีสไปล้างก่อนรับประทาน ขณะที่บางคนใช้ถุงพลาสติกปิดคลุมไว้ก่อนเพื่อให้หนอนขาดออกซิเจนและอ่อนแรง ก่อนที่จะตายในที่สุด แต่วิธีหลังถือว่าอันตรายเพราะอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษจนต้องหามส่งโรง พยาบาลได้

▼3. Douche Burger
Douche Burger ราคา 19,980 บาท

▼4. เบียร์กาแฟ
ถ้าคุณไม่ใช่คอกาแฟ มันก็คงจะยากสักหน่อยที่จะเข้าไปคุยกับคอกาแฟที่กำลังถกเรื่องเครื่องดื่ม ของเขาอย่างขมักเขม้น บ้างก็จดโน้ตถึงกลิ่นผลไม้ หรือกลิ่นไหม้ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพวกเขาได้หันเหความสนใจมาที่เครื่องดื่มชนิดใหม่นั่นก็คือคือ “เบียร์กาแฟ”
ใช่!! มันยากที่จะบอกว่ามันดีหรือด้อยกว่า แต่คอเครื่องดื่มทั้งสองก็ต่างมีชื่อในความเชี่ยวชาญกันพอตัวเลยทีเดียว นี่เป็นปรากฎการณ์ใหม่ของการพัฒนาทางด้านอาหารของชาวอเมริกันที่ผู้บริโภคมา หาซื้อของที่ตลาดนัดเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ กาแฟ หรือผักที่ปลูกโดยคนท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของกลุ่มย่อยของชาวนาผู้ผลิตอาหารกำลังพัฒนาขึ้น แต่สินค้าพิเศษกำลังกำลังพยายามชิงตลาดกันอยู่

▼5.รังนก
รังนก ทำมาจากน้ำลายของนกนางแอ่น ในด้านเศรษฐกิจ รังนกแอ่นกินรังถือเป็นสินค้าที่ราคาแพงมากและหาได้ยาก

▼6. ซุปค้างคาว (Fruit Bat Soup)
เป็นซุปที่ทำมาจากค้างคาว เป็นอาหารโปรดของคนในเกาะเปาเลา กลางมหาสมุทรแปซิฟิค ทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ ร้านอาหารที่เกาะจะแนะนำให้นักท่องเที่ยวทานซุปนี้เนื่องจากเป็นอาหารจาน เด็ด เกาะแห่งนี้มีค้างคาวสองชนิดคือค้างคาวกินแมลง และค้างคาวผลไม้ขนาดใหญ่ โดยนำมาปรุงในน้ำซุปที่ทำจากกะทิ ขิง และเครื่องเทศ แล้วต้มนานหลายชั่วโมง บางร้านอาหารสามารถเลือกค้างคาวที่มีชีวิตก่อนนำไปปรุงอาหารได้ด้วย
▼7. ยำไข่ตัวอ่อนมด จากเม็กซิโก (Escamoles)
อาหารท้องถิ่นที่ชาวบ้านนิยมรับประทานพร้อมกับพริกและหัวหอมสับ โดยเมนูนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า คาเวียร์ของแมลง (น่าจะไข่มดแดงบ้านเรา)

▼8. เนื้อฉลามเน่า อาหารสุดแปลกจากไอซ์แลนด์
คนส่วนใหญ่แล้วถ้าพูดถึง อาหารเน่า ก็เข้าใจได้เลยว่า เป็นของที่เสียแล้ว เอามากินไม่ได้ต้องทิ้งอย่างเดียว แต่บางครั้ง หลักการว่าของเน่ากินไม่ได้ ก็เอามาใช้กับอาหารบางอย่างไม่ได้ ลองดูจากบทความนี้ นี่คือ เนื้อฉลามเน่า อาหารแปลกๆ จากไอซ์แลนด์ ที่ต้องทิ้งให้เน่าแล้วเ่ท่านั้นถึงจะเอามากินได้
เนื้อ ฉลามเน่า หรือ Hakarl ในภาษาไอซ์แลนด์ ไม่เหมือนกับเนื้อฉลาม หรือหูฉลาม ที่เอามาทำเป็นอาหารจีนราคาแพงที่เรารู้จักกันดี วิธีการเตรียมและขั้นตอนการทำนั้นมีวิธีการเฉพาะที่ยุ่งยาก และใช้เวลาในการทำนานมากเลยทีเดียว

เนื้อฉลามเน่าถูกหั่นเป็นทรงลูกเต๋าอยู่ในแก้ว ดูสวยงามน่ากิน แต่อย่าให้หน้าตาภายนอกมาหลอกคุณได้
วิธี การเตรียมเนื้อฉลามเน่าแบบดั้งเดิมนั้น จะเริ่มจากการตัดหัวฉลามออก และทำความสะอาดก่อน (ทางเรามีรูปอยู่แต่คิดว่าไม่เอามาลงจะดีกว่า ใครอยากดูรูปฉลามถูกตัดหัวสามารถค้นหาได้ทั่วไปจากทางอินเตอร์เน็ต) จากนั้นก็นำไปฝังไว้ในหลุมที่เป็นดินกรวดบนภูเขา แล้วเอาหินหนักๆ มาวางทับไว้ เพื่อใช้กดเนื้อปลาฉลามให้แน่นๆ แล้วทิ้งไว้ให้เน่าอย่างนั้น 6-12 สัปดาห์ หลังจากนั้น จึงขุดขึ้นมา ตัดเป็นชิ้นๆ แล้วตากแห้งไว้อีกหลายเดือน เมื่อตากได้ที่แล้วก็นำมารัปประทานได้เลย หรือถ้าเป็นสมัยนี้ก็จะบรรจุหีบห่ออย่างดี ขายกันตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป หากินได้ตลอดปี

ฝังกลบ ขุดขึ้นมาตากแห้ง แล้วก็บรรจุห่อ กินได้เลย
สาเหตุ ที่ไม่ใช้เนื้อปลาฉลามสดๆ มาทำ เนื่องจากว่าเนื้อปลาฉลามไอซ์แลนด์แบบสดๆ นั้นเป็นพิษ เนื่องมาจากมีปริมาณยูเรียมาก คนที่กินเข้าไปจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด จึงต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้นำมากินได้ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเอามากินทำไมตั้งแต่แรก?) นอกจากจะอันตรายแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นมากด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมีสารแอมโมเนีย (แบบเดียวกับที่อยู่ในปัสสาวะ) อยู่มากนั่นเอง
เนื้อ ฉลามเน่าที่ถูกแปรรูปและตากแห้งแล้ว จะยังคงมีกลิ่นเหม็นของแอมโมเนียติดอยู่ จึงกลายเป็นอาหารที่คนท้องถิ่นชอบเอามาหลอกให้ผู้มาเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิ เหน่ลองกิน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาแล้ว และไปลองกินท้าพิสูจน์ ซึ่งส่วนมากก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นอาหารที่ “รสชาติเลวร้ายที่สุด” และไม่ค่อยมีใครกินลงไปได้ นอกจากชาวไอซ์แลนด์เอง จนได้ชื่อว่าเป็นอาหารสำหรับ “ขาโหด” และไม่เหมาะกับพวก “มือใหม่”

*********************************
ที่มา http://www.bigza.com/news-175793